วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำชามะนาว


น้ำชามะนาว
เหมือนชามะนาว จะเป็นที่โปรดปรานของสาวๆ หนุ่มๆ ทั้งหลาย ความหอมของชา ความสดชื่นและรสเปรี้ยวของมะนาว ทำให้ลงตัวทั้งรสชาติและกลิ่นหอม แต่ไม่เพียงแค่นั้น ประโยชน์ของมะนาว ยังลดผลข้างเคียงของชา ทำให้แม้จะดื่มมากๆ ก็ไม่ท้องผูก และยังแก้เลี่ยนในอาหารหลายอย่างได้ดี
และดีกว่านั้น คุณสามารถทำชามะนาวได้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง มะนาวหน้าฝนก็จะถูกมากๆ ไปตลาดไหนก็มี ไปห้างสรรพสินค้าซูปเปอร์มาร์เก็ตไหน ก็มักวางขายในแผนกอาหารสดผักผลไม้ ลองมาทำกันดื่มที่บ้านดีกว่า

1. น้ำชามะนาวปั่น
ส่วนผสม สำหรับ 2 แก้ว
ชาฝรั่ง 2 ซอง
น้ำร้อน 1 ถ้วย
น้ำตาล 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
แข็งป่น 4 ถ้วย

วิธีทำ
1. นำชาแช่น้ำร้อน แล้วเอาถุงชาทิ้งไป
2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมด ลงในโถปั่น ปั่นจนละเอียดดี
3. เทใส่แก้ว ดื่มได้เลย

แนะนำ
1. ความอร่อยของชา ขึ้นอยู่กับชา เช่น เลือกชาที่ใหม่ กลิ่นจะหอม
2. ชายี่ห้อต่างกัน ให้รสชาติต่างกัน ลองหลายๆ ยี่ห้อดู ควรใช้ชาแท้ ไม่ผสมกลิ่นหรือรสอื่น หากชงชาจากใบชาอ่อน (ไม่ใช่ชาซอง) จะได้รสชาติดีขึ้น หอมขึ้น
3. ระวังอย่าใช้มือหยิบใบชาจากกล่องเก็บใบชามาชง จะทำให้เสียรสชาติจากความชื้นและไขมัน รวมทั้งสิ่งปนเปื้อนบนนิ้วมือ และอาจทำให้ใบชาที่เก็บ ขึ้นรา หรือเสียรส เสียกลิ่นได้ ควรหยิบชาด้วยคีมไม้ หรือตะเกียบไม้แห้งๆ ช้อนไม้ หรือช้อนโลหะที่คุณเลือกใช้สำหรับตักชาเฉพาะ และปิดภาชนะเก็บชาให้สนิทหลังเปิดใช้ทุกครั้ง
4. น้ำตาลทรายขาว กับน้ำตาลทรายแดง ก็ให้รสชาติต่างไป การใช้น้ำตาลทรายขาว จะเน้นรสชาติของชาและมะนาวให้กลมกล่อม หรือจะใช้น้ำตาลเทียมแทนสัก 1 ซอง ก็ลดแคลอรี่ได้ดี เพราะน้ำตาล ประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ หรือ 75 มิลลิลิตร มีแคลอรี่พอๆ กับพลังงานที่วิ่งรอบสนามฟุตบอลได้ราว 15 รอบทีเดียว (ต้องวิ่งกี่วันกันล่ะเนี่ย)
5. มะนาวแต่ละประเภท แต่ละพันธุ์ ให้ความหอมและรสชาติต่างกันไป มะนาวหอม(มะนาวที่มีกลิ่นหอม) จะช่วยเพิ่มอรรถรสมากกว่า อย่าใช้น้ำมะนาวสำเร็จรูปบรรจุขวด เพราะมักเป็นกรดมะนาว ไม่ใช่มะนาว ไม่อร่อย และไม่หอม
6. ฝานมานาวแต่งไว้ที่ขอบ เสริฟทันทีที่เสร็จ อร่อยกว่าเยอะ สวยกว่าแยะ


2. น้ำชามะนาวร้อน สูตร 1
ส่วนผสม
ชาฝรั่ง 1 ซอง
น้ำร้อนจัด 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/2 ผล
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ (1 ซอง)


วิธีทำ
1. นำถุงชาออกจากซองชา เทน้ำร้อนจัดลงถ้วยชา เขย่าหรือจับด้ายถุงชาขึ้นลงเร็วๆ แล้วเอาถุงชาออกทิ้งไป
2 ล้างผิวมะนาวให้สะอาด ผ่าซีกหนึ่งต่อถ้วย เติมน้ำมะนาวโดยบีบจากมือ กลิ่นของมะนาวจากเปลือก จะหอมขึ้น แต่อาจจะขมเล็กน้อย
3เสริฟพร้อมน้ำตาล 1 ซอง ผสมน้ำตาลท้ายสุด หากต้องการหวาน
คำแนะนำ
1.ควรลอง ชิมก่อน ชามะนาวที่ไม่หวาน ไม่เติมน้ำตาล จะให้รสชาติที่ดีกว่า ไม่ควรเน้นความหวาน หากชิมแล้วดื่มได้จะได้รสชาติของธรรมชาติมากกว่า
2.จีน ก็อร่อยได้เช่นกัน ชงชาจีนก่อนแล้วกรองใบชาทิ้งไป แล้วค่อยเทลงถ้วยชา เติมมะนาว และน้ำตาลลำดับสุดท้าย แต่รสชาติ ไม่เหมือนกัน
3.มะนาวหอม หรือมะนาวไทย (เหมือนในรูป) จำให้รสชาติดีกว่า กลิ่นดีกว่ามะนาวเทศ

3.น้ำชามะนาวร้อน สูตร 2
ส่วนผสม
ชาฝรั่ง 1 ซอง
น้ำร้อนจัด 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ผล
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ (1 ซอง)


วิธธีทำ
1.จากซองเทน้ำร้อนจัดลงถ้วยชา เขย่าหรือจับด้ายถุงชาขึ้นลงเร็วๆ แล้วเอาถุงชาออกทิ้งไป
2. ล้างผิวมะนาวให้สะอาด ฝานมะนาวตามขวางลูก เลือกไว้ 2-3 ชิ้น วางลงในน้ำชาร้อนๆ
3. รอ 2-3 นาที ค่อยดื่ม

คำแนะนำ
สูตรนี้ มีรสเปรี้ยวของมะนาวเพียงเล็กน้อย แต่จะได้กลิ่นหอมของมะนาว และรสชาติพร้อมกลิ่นใบชา เหมาะสำหรับท่านที่ไม่ชอบเปรี้ยว แต่ต้องการความหอมของมะนาวและชาไปพร้อมๆ กัน
2. หากรู้สึกว่า จืดไป ต้องการเปรี้ยวขึ้นเล็กน้อย ใช้ช้อนชา กดบริเวณเนื้อมะนาวให้แตกออก ระวังอย่าให้โดนผิวนอกของมะนาว เพื่อมิให้เกิดรสขม


4. น้ำชามะนาวเย็น

ชาฝรั่ง 1 ซอง
น้ำร้อน 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำแข็ง 1 แก้ว
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ (1 ซอง)

วิธีทำ

1. นำถุงชาออกจากซองชา เทน้ำร้อนจัดลงถ้วยชา เขย่าหรือจับด้ายถุงชาขึ้นลงเร็วๆ แล้วเอาถุงชาออกทิ้งไป
2. หากต้องการแบบหวาน เติมน้ำตาลลงขณะชารัอน คนให้ละลาย
3. เทน้ำแข็งลงแก้วน้ำ แล้วเทน้ำชาผ่านน้ำแข็งลงไปช้าๆ ตนให้น้ำชาเย็นลง แล้วเติมน้ำมะนาวลงไป คนให้เข้ากัน
4. แต่งขอบด้วยมะนาวฝาน และหลอดดูดงอ แล้วเสริฟได้ทันที





คำแนะนำ
1. สูตรนี้ให้ยังให้คงคุณค่าของน้ำมะนาว เช่นวิตามินซี และสารต้านมะเร็งต่างๆ ได้มาก การเติมน้ำมะนาวสดเมื่อน้ำชาเย็นจากน้ำแข็งแล้ว จะไม่ทำลายวิตามิน แต่อาจจะกลิ่นไม่หอมเท่าชามะนาวแบบร้อน
2. ชาจีน เช่นชาอู่หลง ชาขาว ชาแดง ก็สามารถนำมาใช้กับชามะนาวได้รสชาติที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ไม่นิยมผสมกับชาเขียว








ความหมายของดอกไหว้ครู

ดอกมะเขือ
เ ป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่างๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับหญ้าแพรก





หญ้าแพรก
เป็ นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง



ดอกเข็ม
เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม






ข้าวตอก
เป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะมีความซุกซน ความเกียจคร้าน เป็นสมบัติมากบ้าง น้อยบ้างก็ตาม ตาเมื่อเขามีความต้องการศึกษาหาความรู้ เขาก็ต้องรู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบ ในระเบียบหรือในกฎเกณฑ์ที่สถาบันได้กำหนดไว้ ใครก็ตามหากตามใจตนเอง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บุคคลนั้นก็จะเป็นเหมือนข้าวเปลือกที่ถูกคั่ว แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นข้าวตอก

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

สุนัขพันธุ์มอสทีน


สุนัขพันธุ์มอสทีน
สุนัข MALTESE มีถิ่นกำเนิดในประเทศ MALTA (แถบทะเลเมอร์ดิเตอริเนียน) มานานเกือบ 2800 ปีแล้ว นักเขียนหรือนักวาดภาพในสมัยโบราณมักนิยมเขียนเรื่องราวหรือภาพของสุนัขพันธุ์นี้อยู่เนืองๆ และเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้คนสมัยนั้น และจนกษัตริย์อียิปต์โบราณและ QUEEN VICTORIA ด้วย MALTESE เป็นสุนัขที่มีขนมีขาวสะอาดมีสุขภาพดี คล้ายสุนัขใหญ่กลุ่ม SPANIEL ในปี ค.ศ. 1607 มีการซื้อขายพันธุ์ MALTESE ตัวหนึ่งสูงถึง 2000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 50000 บาท มาตราฐานสายพันธุ์

อุปนิสัย : เป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ สุภาพ กล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว

ศีรษะ : มีความยาวปานกลาง หัวกะโหลกลักษณะกลม

หู : โคนหูอยู่ในระดับต่ำ หูตก บริเวณหูมีขนหนาและยาว

ตา : สีดำ ลักษณะกลม ขอบตาดำ ทำให้ดูตื่นตัวอยู่เสมอ

ดั้งจมูก : มีมุมหักพอประมาณ

ปาก : มีความยาวปานกลาง ขนาดของโคนปากเรียวสู่ปลายจมูกเล็กน้อย

จมูก : สีดำ

ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบเสมอหรือขบแบบกรรไกร

ลำตัว : ค่อนข้างสั้น ความยาวของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความสูงของลำตัว เส้นหลังตรงขนานกับพื้น คอ : มีความยาวพอเหมาะ

อก : ค่อนข้างลึก

ขาหน้า : มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้ามีขนยาวเท้ามีขนาดเล็กค่อนข้างกลม นิยมตัดขนบริเวณเท้าเพื่อไม่ให้รุ่มร่าม

เอว : แข็งแรง เอวกิ่วเล็กน้อย

ขาหลัง : มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ข้อเท้าแข็งแรงทำมุมพอประมาณเท้ามีขนาดเล็ก เท้ากลม นิยมตัดบริเวณเท้า หาง : ค่อนข้างยาวหางมีขนยาว หางพาดอยู่บนหลัง

ขน-สี : มีขนชั้นเดียว ขนยาวเหยียดตรง ขนฟู ขนไม่ตั้ง บริเวณหัวยาวอาจมัดเป็นจุก หรือหวีปัดลงก็ได้มีสีขาวทั้งตัว ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก

น้ำหนัก : ประมาณ 4-6 ปอนด์

การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม วิ่งเร็ว ขณะวิ่งขาหลังเป็นเส้นตรง ไม่บิดงอ

ข้อบกพร่อง : ขนหยิกงอ เท้าบิด

สุนัขพันธุ์ดพุดเดิ้ล

สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล
Poodle ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีกำเนิดในประเทศใด บางข้อมูลกล่าวว่ามีกำเนิดในประเทศเยอรมัน โดยรู้จักกันในนาม Pudle แต่บางท่านกล่าวว่า Poodle เป็นสุนัขประจำชาติของฝรั่งเศส โดยชาวฝรั่งเศสมักนิยมใช้สุนัขพันธุ์นี้ ในการคาบสิ่งของหรือฝึกแสดงในละครสัตว์และชอบที่จะตัดแต่งทรงขน ซึ่งมีลักษณะหยิกแน่นเป็นขดเป็นทรงต่างๆตามแฟชั่นเป็นที่โปรดปราน แก่บรรดาคุณหญิงคุนายชาวฝรั่งเศสกันมาช้านานสุนัขพันธุ์นี้สืบเชื้อสายมาจากพันธุ์ Water Retriever จึงมีความสามารถพิเศษในการว่ายน้ำ Poodle มี 3 ขนาด โดยมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปคือ Toy poodle, Miniature Poodle, Standard Poodle โดยขนาด Standard Poodle ถือกำเนิดก่อน Poodle ขนาดอื่นๆ ซึ่งนิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาจึงมีคัดเลือกสหพันธุ์ที่เล็กลง ผสมผสานจนเกิดเป็น Miniature และ Toy Poodle ขึ้น ทั้งสามขนาดนี้กำหนดขึ้นให้เป็นมาตรฐานประกวดไปทั่วโลกในปัจจุบันมาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ช่างประจบประแจง ขี้อิจฉา สอนง่าย รักสะอาด จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาช้านานทั่วทุกมุมโลก
หู : ห้อยแนบชิดส่วนหัว โคนหูจะอยู่ในระดับต่ำกว่าตาเล็กน้อย หูมีขนยาว ใบหูค่อนข้างกว้างและหนา
ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะค่อนข้างกลม แก้มค่อนข้างแบนหากมองจาด้านบน ลักษณะจากส่วนหัวถึงปลายจมูกจะมีลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำ
ตา : มีลักษณะเป็นรูปกลมค่อนข้างรี คล้ายผลอัลมอนด์ ตาสีเข้ม ขอบตาเข้ม ตามีแววร่าเริง ตื่นตัวเสมอ
ดั้งจมูก : มีมุมหักพอสมควรหรือลาดลง
ปาก : ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก สันปากตรงแข็งแรง ริมฝีปากตึงไม่ห้อยหย่อนยานหรือปากล่างหนาจนเกินไป
ฟัน : ขาวแข็งแรง ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : มองจากด้านข้าง มีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความสูงของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของลำตัว เส้นหลังตรงแข็งแรง
คอ : มีขนาดค่อนข้างยาว ทำให้ Poodle ดูสง่างาม ขณะเชิดหัวขึ้นหนังคอตึง คอประกอบด้วยกล้ามเนื้อ อก : ลึก กว้างพบประมาณ
เอว : สั้น ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ
ขาหน้า : มองจากด้านหน้า ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้าทั้ง 2 ข้างขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ มองจากด้านข้างอยู่ในแนวเดียวกับหัวไหล่ ขาหน้ามีกระดูกและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กับขนาดของสุนัข ข้อเท้าหน้าแข็งแรง เท้ามีขนาดเล็ก รูปกลมรีไม่แบนเหมือนตีนเป็ด ฝ่าเท้าหนา เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า ไม่บิดซ้ายบิดขวา นิ้วติ่งตัดออก เล็บควรตัดสั้น
ขาหลัง : มองจากด้านหลัง ขาหลังตรง ขนานกัน ขาหลังท่อนบนมีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าสั้น ตั้งฉากกับพื้น ขาเท้าหลังทำมุมพอประมาณ และสัมพันธ์กับลำตัวส่วนหน้า เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้าคือไม่บิดซ้ายบิดขวา
หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง หางตั้งตรงไม่ชี้เอนไปด้านหลังขณะเดิน หางนิยมตัดออก 1 ใน 3 ส่วนของความยาวของหางทั้งหมด
ขน : Poodle มีขน 2 ชั้น ขนชั้นบนอ่อนนุ่ม ขนชั้นนอกยาว ขนชั้นนอกนี้มี 2 ชนิด คือ ชนิดหยิกและชนิดหยิกคลายเป็นเกลียวคลื่น Poodle นิยมตัดแต่งขนให้มีรูปทรงต่างๆ กันได้หลากหลายตามแฟชั่นในแต่ละสถานที่ แต่มีข้อบังคับแน่นอนในสนามประกวด ดังนี้ อายุน้อยกว่า 12 เดือน ตัดทรง Puppy Clip เมื่ออายุเกิน 12 เดือนไปแล้วต้องตัดทรง English หรือทรง Continental Clip
สี : มีขนสีเดียวตลอดทั้งตัว ขนอาจมีสีจางลงได้ Poodle ขาวอาจมีสีครีมอ่อนที่หูได้ แต่ไม่ใช่สีตัดกันจนเป็นสีน้ำตาล Poodle สีน้ำตาลช็อกโกแลต กาแฟ แอปปริคอท มักมีจมูก, ขอบตา, เล็บ, ริมฝีปาก สีน้ำตาลเข้มๆ หรือสีตับ ส่วน Poodle สีดำ เทาดำ เทาเงิน ครีม และขาวจะมีจมูก, เล็บ, ขอบตา, ริมฝีปากและไรจมูกเป็นสีดำ

ขนาด : Poodle มี 3 ขนาดและจัดอยู่ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ Standard Poodle มีขนาด ความสูงไม่ต่ำกว่า 15 นิ้ว Miniatrue Poodle มีความสูง 11-15 นิ้ว ทั้ง 2 ขนาดนี้ จัดอยู่ในกลุ่มของ Non-Sporting Toy Poodle มีขนาดความสูงไม่เกิน 11 นิ้ว จัดอยู่ในกลุ่ม Toy ส่วนขนาด Tea-Cup ซึ่งเล็กกว่า Toy Poodle เป็นเพียงขนาดไม่ได้จัดประกวด มีความสูงตั้งแต่ 8 นิ้วลงไป นับเป็น Pet-Quality ที่นิยมเลี้ยงกันเท่านั้นจะเข้าประกวดไม่ได้เลย ถือเป็น Poodle ที่ด้อยผิดมาตรฐานของสายพันธุ์ Poodle ทั่วๆ ไป การเดิน : มีความสง่างาม ขณะเดินหรือวิ่ง ขาหน้าไม่แกว่งหรือยกเตะสูงเหมือนพันธุ์ Miniatrue Pinscher จะเหวี่ยงขว้างไกลไปข้างหน้าเช่นเดียวกับขาหลัง หัวตั้งตรง ขณะเดินไม่โยกไปมา ขาแข็งแรง ก้าวอย่างมั่นใจ ข้อบกพร่อง : มีหลายสีในตัวเดียวกัน เป็น Under หรือ Overshot ตากลมโปน ขาบิด เดินไขว้ เดินเตะสูง ขนาดกลัว ดุร้ายขณะประกวด ตัดแต่งขนผิดทรงและ Oversize ในกลุ่มนั้นๆ

แมวน้อยที่น่ารัก

แมวน้อย
แมว หรือ แมวบ้าน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Felids cantus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อยู่ในตระกูล Fieldale ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับสิงโตและเสือดาว ต้นตระกูลแมวมาจากเสือไซบีเรียน (Felids tigress alpaca) ซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร แมวที่เลี้ยงตามบ้าน จะมีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้นและจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งลักษณะบางอย่างของแมวยังคงพบเห็นได้ในแมวบ้านปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแมวพันธุ์แท้หรือแมวพันธุ์ทาง


แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่ค้นพบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากปิรามิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสสิเนียน

ลักษณะเฉพาะ
แมวเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่มีรูปร่างเพรียว มีหางยาว และบังคับหางได้ มีใบหน้าที่เรียวและโครงหน้าแหลมเช่นเดียวกับเสือและสัตว์อื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน เป็นสัตว์ที่มีเล็บแหลมคม และมีตาที่สามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้ดี แมวจะนอนหลับในเวลากลางวัน และตื่นในเวลากลางคืน

ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
แมวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงาที่นิยมมากชนิดหนึ่งใกล้เคียงกับสุนัข แมวบางสายพันธุ์เช่น แมวสีสวาด และแมววิเชียรมาศ เป็นแมวไทยที่สวยงามเป็นที่ชื่นชอบทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ มีการเลี้ยงเพื่อเพาะพันธุ์เพื่อขาย ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้อุจจาระของแมวสามารถนำมาทำปุ๋ยได้

แมวพันธุ์ต่าง ๆ
แมวในโลกนี้มีมากมายหลายพันธุ์ โดยเฉพาะแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงไม่นับรวมสัตว์ตระกูลแมว พวกเสือ แมวดาว แมวป่า หรือ สิงโต แมวเลี้ยง หรือที่เราเรียกว่า Domestic cat นั้นมีวิวัฒนการมาจากแมวป่าในธรรมชาติจากหลายภูมิภาคของโลก ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แตกต่างกันที่เรียกกันทุกวันนี้ เช่น เปอร์เซีย แมวสยาม บาลิเนส อะบิสสิเนียน และโซมาลี นั้น แสดงถึงถิ่นกำเนิดที่แสดงถึงภูมิศาสตร์ที่เขาถือกำเนิดมา ในการจัดนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษเมื่อปีคริสศักราช 1871 ถือเป็นการเริ่มต้นในการนำเสนอพันธุ์แมวในระดับนานาชาติ ทำให้ผู้สนใจในแมวมีความตื่นตัว แต่การแสดงในครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นแมวเปอร์เซียและแมวขนสั้นเป็นหลัก


การจัดจำแนกแมว
โดยทั่วไปมีการแบ่งพันธุ์แมวออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ แมวขนยาว (longhaired cat) และแมวขนสั้น (shorthaired cats) การแบ่งพันธุ์ด้วยวิธีนี้ทำให้จำแนกแมวออกได้ตามลักษณะพันธุ์ที่จำเพาะต่างๆ กัน การจัดจำแนกแมวในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีการกำหนดมาตรฐานของพันธุ์แมวที่เป็นที่ยอมรับกัน ทั้งนี้ลักษณะมาตรฐานของพันธุ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ การใช้ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แสดงถึงลักษณะของพันธุ์ที่จำเพาะมีความแตกต่างกันระหว่างในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และมีบางพันธุ์มีการจัดจำแนกเฉพาะต่างหากในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แมวมีมากมายหลายพันธุ์ มาก ๆ เลยค่ะ เช่น แมวเปอร์เซีย แมววิเชียรมาศ ฯลฯ
แมวไทย

คนไทยน้อยคนนักที่จะรู้จักว่าแมวไทยจริงๆนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ทว่าแมวไทยพันธุ์แท้นั้นกลับไปมีชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างประเทศมากกว่าในเมืองไทย ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นพันธุ์อันเลิศพันธุ์หนึ่งในโลก และมีความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าพันธุ์ใดๆ เมื่อปี พ.ศ. 2427 ชาวอังกฤษชื่อนายโอเวน กูลด์ (Owen Gould) กงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้นำแมวไทยคู่หนึ่งจากประเทศไทยไปฝากน้องสาวที่อังกฤษ อีกหนึ่งปีต่อมา แมวคู่นี้ถูกส่งเข้าประกวดในงานประกวดแมวที่คริสตัลพาเลซ กรุงลอนดอน ปรากฏว่าชนะเลิศได้รางวัลที่หนึ่ง ทำให้ชาวอังกฤษพากันแตกตื่นเลี้ยงแมวไทยกันจนมีสโมสรแมวไทยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 ชื่อว่า The Siamese Cat Clubs ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 ได้มีการตั้งสมาคมแมวไทยแห่งจักรวรรดิอังกฤษขึ้น หรือ The Siamese Cat Society of the British Empire ขึ้นมาอีกสมาคมหนึ่ง
แมวที่นายโอเวน กูลด์ นำไปจากประเทศไทยนั้น มีแต้มสีครั่งหรือน้ำตาลไหม้เก้าแห่ง คือหน้า หูทั้งสองข้าง เท้าทั้งสี่ หาง และอวัยวะเพศ ซึ่งถือว่าเป็นแต้มสีที่อยู่ในบริเวณที่เหมาะสมและไม่เลอะเทอะเหมือนแมวพันธุ์อื่น และเมื่อนำแมวไทยไปผสมกับแมวพันธุ์อื่น จะได้แต้มสีตามร่างกายในตำแหน่งเดียวกัน แต่รูปร่างจะไม่สง่างามเท่า และอุปนิสัยจะไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งแมวไทยพันธุ์นี้เป็นพันธุ์แรกที่ชาวต่างชาติรู้จัก จึงมักเรียกกันทั่วไปว่า Siamese Cat หรือ Seal Point ส่วนในสมุดข่อยโบราณของไทยให้ชื่อแมวไทยลักษณะนี้ว่า "
แมววิเชียรมาศ" คุณสมบัติอันโดดเด่นของแมวไทยอีกประการหนึ่งก็คือ อุปนิสัยที่มีความฉลาด รักบ้าน รักเจ้าของ เป็นตัวของตัวเอง รู้จักประจบ และที่สำคัญคือ การรักอิสระเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัว และทำให้แมวไทยเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงไปทั่วโลก และเป็นที่น่าสังเกตว่า การผสมพันธุ์ระหว่างแมวไทยและแมวต่างชาตินั้น แม้จะได้แมวที่มีลักษณะและสีเหมือนแมวไทย แต่จะไม่ได้อุปนิสัยตามอย่างแมวไทยไปด้วย นอกจากว่าจะเป็นการผสมระหว่างแมวไทยด้วยกันเองเท่านั้น

ในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยไว้ถึง 23 ชนิด ซึ่งเป็นแมวดี (แมวให้คุณ) 17 ชนิด และแมวร้าย (แมวให้โทษ) 6 ชนิด ซึ่งในปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว 13 ชนิด เหลือเพียง 4 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบัน ได้แก่แมววิเชียรมาศ แมวโคราช แมวศุภลักษณ์ และแมวโกญจา ส่วนแมวขาวมณีนั้นแม้จะไม่ได้บันทึกอยู่ในสมุดข่อยก็ตาม แต่ก็ถือเป็นแมวไทย ต่อมาภายหลังได้ค้นพบแมวแซมเสวตรซึ่งเดิมทีเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยค้นพบไม่กี่ปีมานี้